วาเลนติโน่ รอสซี่ กับเรื่องราว เหตุการในชีวิตของเขา

วาเลนติโน่ รอสซี่ หลังจากที่เค้า ประกาศเลิกขับ โมโตจีพี เมื่อสิ้นสุดฤดูกาล 2021 ครั้งนี้ เราจะมาพาทุกคน ให้รู้จักกับ รอซซี่ ให้มากขึ้นกับระดับนักแข่งตำนานคนนี้

วาเลนติโน่ รอสซี่ เกิดวันที่ 16 February 1979 ประเทศอิตาลี เค้าเป็นบุตรชายของ Graziano Rossi อดีตนักแข่งรถมอเตอร์ไซด์ชิงแชมป์โลก

รอสซี่ ได้ทำการขี่รถแข่งตั้งแต่อายุยังน้อยๆ สิ่งที่เขารักเป็นชีวิตจิตใจคือการแข่งรถ ทางด้านคนที่เป็นพ่อแม่ ก็ห่วงใยลูกชาย จึงซื้อรถ โกคาร์ทมาให้เล่นแทนจักรยานยนต์สองล้อ

รอสซี่ ได้หันมารู้จักและเข้าสู่วงการโกคาร์ท ได้แชมป์การแข่งขันโกคาร์ทระดับภูมิภาคในปี 1990 ภายหลังก็ชนะการแข่งมินิโมโต ไปจนถึงปี 1991 เขาชนะการแข่งขันอีกมากมาย ที่มีการจัดการแข่งขัน

รอสซี่ ก็ยังคงโลดแล่นในวงการโกคาร์ทมาเรื่อย เขาพยายามหาช่องทางขยับขึ้นไปยังฟอร์มูล่าวัน ด้วยค่าใช้จ่ายใน ฟอร์มูลาวัน นั้นสูงมาก ก็เลยหนีออกมาแข่งมินิโมโต ในปี 1992 – 1993 ตอนนี้เขาได้เริ่มเรียนรู้ รายละเอียดเล็กๆน้อยๆของวงการรถสองล้อ

ในปี 1993 รอสซี่ มีโอกาสได้ขับรถแข่ง 125 CC เป็นครั้งแรก โดยมี “เปาโล พิเลรี” อดีตแชมป์โลกในยุคนั้น ที่หันมาเป็นผู้จัดการทีมแข่ง จน รอซซี่ ได้รับการสนับสนุนจากทุกคนรอบข้าง ทำให้เขาได้ลงแข่งขันในรายการ 125cc Italian Sport Production Championship กับรถแข่ง Cagiva Mito

การแข่งขันครั้งแรกไม่ได้สวยหรูนัก เขาทำรถเสียหายหนักจากการล้มในโค้งแรก แต่ในวันแข่งก็สามารถทำผลงานจบอันดับที่ 9 ได้ นี้คือรายการแรก และเป็นก้าวแรกของตำนานที่ชื่อว่า วาเรนติโน่ รอสซี่

ปี 1994 รอสซี่ ลงทำแข่งขันในรายการ Italian 125cc Championship กับรถแข่ง Sandroni ใช้เครื่องยนต์ Rotax เป็นรถที่ที่ถูกสร้างขึ้นมาโดย “กุยโด้ มันชินี” อดีตนักแข่งชื่อดัง

ปี 1995 รอสซี่ ได้มาใช้รถ Aprilia และสามารถค้วาแชมป์ Italian 125cc Championship ได้สำเร็จ และคว้าที่ 3 ในการแข่งขัน European Championship

ปี 1996 รอสซี่ เริ่มเข้าสู่รายการชิงแชมป์โลกระดับกรังด์ปรีซ์ นี้คือการเปิดตัวอย่างเป็นทางการของเขา และภายในปีแรก เข้าทำผลงานได้ดีมาก จบฤดูกาลในอันดับที่ 9 ชนะ 1 ครั้ง ขึ้นโพเดี้ยม 2 ครั้ง

ปี 1997 เป็นปีที่ 2 ของเขา ได้ย้ายมาขับกับทีม Nastro Azzurro Aprilia และปีนี้เอง ที่พรสวรรค์ ของเขาได้แสดงออกมาเต็มที่ เขาคว้าแชมป์โลกรุ่น 125 ซีซี ได้สำเร็จด้วยการ ชนะ 11 ครั้ง ขึ้นโพเดี้ยม 13 ครั้ง ทำแต้มได้ 321 คะแนนจาก 15 สนาม  ด้วยการเป็นคนขี้เล่น สบายๆ ง่ายๆ การเอนเตอร์เทนท์คนดูของ รอสซี่ ทำให้มีแฟนๆ มากมายเริ่มชอบ และหันมาให้ความสนใจ ติดตามเขาเรื่อยมา

วาเลนติโน่ รอสซี่

วาเลนติโน่ รอสซี่ ได้ก้าวเข้ามาสำหรับรุ่นใหญ่

ภายหลังจากการได้แชมป์โลกได้ในปี 1997 ก็ได้เวลาที่ รอสซี่” จะขยับขึ้นมารุ่นที่ใหญ่ขึ้น

ปี 1998 ได้ขึ้นมาขับรุ่น 250 ซีซี ด้วยรถที่แรงขึ้น บวกกับความยังไม่ชินกับการจับรถ CC สูง 2 สนามแรก รอสซี่ ไม่จบการแข่งขัน

แต่หลังจากนั้นเขาก็เริ่มปรับตัว จูนตัวเองเขาหารถ หาจุดแข็งของตัวเอง ก็สามารถงัดฟอร์มเก่งออกมาได้ ด้วยการคว้าอันดับที่ 2 อีก 3 สนามติดต่อกัน แต่ก็ไม่จบการแข่งขันในสนามถัดมา

กว่าจะได้แชมป์แรกในรุ่น 250 ซีซี ต้องรอจนถึงการแข่งในสนามที่ 11 “รอสซี่” จึงจะสามารถคว้าแชมป์ได้ หลังจากนั้นอีก 3 สนาม เขาก็ไม่ปล่อยให้แชมป์หลุดมือไป จบฤดูกาล เขาได้อันดับที่ 2 ห่างจากแชมป์ “ลอริส คาปิรอสซี่” เพียง 23 คะแนน

ปี 1999 เขาเริ่มต้นฤดูกาลได้ไม่ดีเท่าไร ชจบอันดับที่ 5 ในสนามแรกและอันดับที่ 7 ในสนามต่อมา จนการย้ายมาโซนยุโรปในสนามที่ 3 เขาก็คว้าแชมป์ได้อีกครั้ง หลังจากนั้นผลงานของเค้า ก็ดีขึ้นด้วยการกวาดแชมป์มาเรื่อยๆ จนจบการแข่งขัน

รอสซี่ คว้าแชมป์โลกรุ่น 250 CCได้สำเร็จ ด้วยการชนะ 9 ครั้ง ขึ้นโพเดี้ยม 12 ครั้ง จากการแข่งทั้งหมด 16 สนาม เมื่อได้แชมป์รุ่น 250 ซีซีแล้ว ก็เหมือนกับใบเบิกทางให้ขึ้นไปสู่รุ่นใหญ่ ในยุคสมัยนั้นเป็นรุ่น 500 ซีซีอยู่

วาเลนติโน่ รอสซี่ เส้นทางการเริ่มต้น MotoGP 

ปี 2000 “รอสซี่” ได้ขับรถ ฮอนด้า แต่ก็เหมือนกับทุกๆปีก่อน ที่ขึ้นมาขี่ใหม่ๆ ผลงานยังไม่เข้าที่เพราะยังปรับตัวไม่ได้ แต่ก็สามารถจบฤดูกาลด้วยอันดับที่ 2 ชนะไป 2 ครั้ง และขึ้นโพเดี้ยมทั้งหมด 10 ครั้ง

ปี 2001 ฟอร์มเทพของ “รอสซี่” ก็กลับมาอีกครั้ง โดยเขาคว้าแชมป์โลกให้กับ ฮอนด้า ได้สำเร็จ ด้วยการชนะ 11 ครั้ง ขึ้นโพเดี้ยม 13 ครั้ง จากการแข่งทั้งหมด 16 สนาม ช่วงเวลานี้มีเหตุการณ์ดราม่าระหว่างเขาและ “แม็กซ์ บิอัจจี้” ได้มีปากเสียงกันอย่างรุนแรงในการแข่งขันที่ญี่ปุ่น

จากเหตุการที่ “บิอัจจี้” พยายามบีบให้ “รอสซี่” ออกนอกแทร็กขณะวิ่งด้วยความเร็วสูง และในรอบต่อมา “รอสซี่” ก็แซง “บิอัจจี้” กลับคืนมาได้ พร้อมทั้งยกนิ้วกลางให้ ในการแข่งต่อมาที่ คาตาลัน หลังแข่งเสร็จ ก่อนขึ้นโพเดี้ยมรับรางวัล ทั้งคู่ก็ได้มีเหตุวางมวยกัน สร้างความตกใจให้แฟนๆที่มาดู

วาเลนติโน่ รอสซี่

ฮอนด้าได้จัดงานแถลงข่าวเกี่ยวกับเหตุการนึ้ เพื่อให้ทั้งสองคน เคลียร์ใจเรื่องที่วางมวยกัน ต่อหน้าสื่อมวลชนที่มาทำข่าวเพื่อยุติความบาดหมาง

ปี 2002 ก้าวเข้าสู่ยุค โมโตจีพี อย่างเป็นทางการ “รอสซี่” ยังคงสังกัดเดิมคือ ฮอนด้า ฟอร์มเทพของเขายังคงยอดเยี่ยมเหมือนเดิม สามารถคว้าแชมป์โลกได้อีกครั้ง คว้าแชมป์ไป 11 ครั้ง ขึ้นโพเดี้ยม 15 ครั้งของการแข่งทั้งหมด 16 สนาม

ปี 2003 ตอนนี้อะไรก็หยุดเขาไม่อยู่แล้วสำหรับชายที่ชื่อ “รอสซี่” เขาเดินหน้าคว้าแชมป์ได้ภายใต้สีเสื้อของฮอนด้า ด้วยการชนะ 9 ครั้ง ขึ้นโพเดี้ยมไป 16 ครั้ง อีกทั้งยังทำคะแนนสะสมได้มากกว่าปีก่อนๆอีกด้วย

ปี 2004 ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตของ “รอสซี่” อีกครั้ง เมื่อทาง ยามาฮ่า ได้จัดการเซ็นสัญญาคว้าตัวเขามาร่วมทีม แล้ว รอสซี่ ก็ไม่เคยทำให้ผิดหวัง เขาอยู่ในช่วงที่อะไรก็หยุดไม่อยู่แล้วตอนนี้ สามารถคว้าแชมป์โลกรุ่นใหญ่ได้เป็นสมัยที่ 4 ติดต่อกัน ด้วยการชนะ 9 ครั้ง ขึ้นโพเดี้ยม 11 ครั้ง

ปี 2005 กระแสของ “รอสซี่” ยังคงดีขึ้นเรื่อยๆ เขาคว้าแชมป์โลก 5 สมัยติดต่อกันให้กับตัวเองได้สำเร็จ จาการชนะ 11 ครั้ง ขึ้นโพเดี้ยม 16 ครั้ง

ปี 2006 ปีนี้เป็นปีที่เชียสนุกหน่อยเพราะ “รอสซี่” ฟอร์มเริ่มดรอปลง ไม่ชนะขาดเหมือนทุกๆปีที่ผ่านมา ทำให้แฟนๆได้ลุ้นตามกันนิดหน่อย แต่ไฮไลท์ของปีนี้อยู่ที่การแข่งสนามสุดท้าย ระหว่าง รอสซี่ กับ นิกกี้เฮย์เดน  แต่​ “รอสซี่” พลาดล้มลงไป ถึงจะกลับมาขี่ต่อ จนจบอันดับที่ 13แต่ทางด้าน “เฮย์เดน” จบอันดับที่ 3 คว้าแชมป์โลกไปในปีนั้น ด้วยคะแนน 252 คะแนน ห่างจาก “รอสซี่” 5 คะนนเท่านั้น

ปี 2007 ในแต่ละปีของเขา เริ่มมีคู่แข่งที่มีฝีมือเข้ามาเรื่อยๆ ปีนี้เป็นปีที่ “เคซี่ สโตนเนอร์”อีกหนึ่งคู่แข่งคนสำคัญของ “รอสซี่” ก่อนเปิดฤดูกาลเต็งหนึ่งที่จะคว้มแชมป์โลก หลายฝ่ายก็ยังยกให้ รอสซี่ เป็นเต็งหนึ่ง แต่แล้ว “รอสซี่” ไม่สามารถต่อกรกับความโหดของ “สโตนเนอร์” เอาไว้ได้ ทำให้เขาจบอันดับที่ 3 ในฤดูกาลนี้

 เป็น 2 ฤดูกาลที่ “รอสซี่” เสียแชมป์ให้กับ นิกกี้ เฮย์เดน และ เคซี่สโตนเนอร์

จนปี 2008 หลายๆคนเริ่มพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า มันหมดยุค วาเรนติโน่ แล้วหรือยัง? บางคนก็บอกถึงเวลาที่จะเกษียณแล้วสำหรับเขา นในปี้นี้ยังมีนับขับของยามาฮ่า เข้ามาอีกคนเขาชื่อ  “ฮอเก้ ลอเรนโซ่” ที่จะเข้ามาแย่งตำแหน่งแชมป์โลกนั้นเอง

เริ่มต้นฤดูกาลใหม่กับ “Casey Stoner” สามารถคว้าแชมป์ในสนามแรกได้อีกครั้งส่วน “รอสซี่” คว้าอันดับที่ 5 แต่หลังจากนั้นในสนามที่ 4 “รอสซี่” ก็เริ่มเข้าฝักมากขึ้นคว้าแชมป์ 3 สนามติด และดูเหมือนฟอร์มจะดรอปลงไปอีก จนมาถึงการแข่งขันที่อเมริกาก็คว้าแชมป์อีก 5 สนามติดต่อกัน จนสามารถคว้าแชมป์โลกได้อีกครั้ง

ปี 2009 หลังผ่านพ้นเสียงวิจารทั้งหลายมาได้ “รอสซี่” ก็ต้องพบกับคู่แข่งอีกคนที่เพิ่มขึ้น ไม่ใช่ใครที่ไหนเลย เค้าคือ “Jorge Lorenzo” เพื่อนร่วมทีม ยามาฮ่า ของเค้านั้นเอง แม้ว่า ลอเรนโซ่ จะยอดเยี่ยมแค่ไหน แต่เค้าก็เพิ่งเข้ามา ด้วยประสบการที่มากกว่า ของ รอสซี่ ทำให้เขากลับมาคว้าแชมป์โลกครั้งที่ 6 ของเขามาได้สำเร็จ

ปี 2010 “รอสซี่” ถูกยกให้เป็นเต็งหนึ่งอีกครั้ง บวกกลับการเริ่มต้นออกสตาร์ทด้วยการเก็บชัยชนะตั้งแต่สนามแรก ทำให้ราศรีแชมป์ออกมาแต่ใกล แต่อย่าลืม ยังมีเพื่อนรวมทีมอย่าง“ฮอเก้ ลอเรนโซ่” ที่เก็บประสบการณ์มามากมาย เขาไม่ยอมปล่อยให้แชมป์ฤดูกาลนี้หลุพไป ส่วน “รอสซี่” จบอันดับที่ 3

ปี 2011 “รอสซี่”ก็ไม่อาจสู้ความแข็งแกร็งของ “ลอเรนโซ่”ได้  เขาได้ย้ายมาอยู่กับดูคาติ ขับคู่กับ “นิกกี้ เฮย์เดน” และดูเหมือนครั้งนี้จะเป็นการตัดสินใจที่พลาดในชีวิตของเขา รอสซี่ภายใต้เสื้อสีแดงของ ดูคาติ ไม่ชนะการแข่งขันใดๆในปีนั้นเลย จบอันดับที่ 7 ของปีนั้น น่าจะเรียกได้ว่าเป็นปีที่ ฟอร์มของนักแข่งอิตาลีรายนี้จะตกต่ำที่สุดตั้งแต่แข่งรุ่นใหญ่มา

เหตุการสะเทือนขวัญของคนทั้งโลก รวมทั้งรอสซี่เอง

ในแข่งขัน โมโตจีพี ประเทศมาเลเซีย “รอสซี่” ได้ปะทะกับ “Marco Simoncelli” นักแข่งชาวอิตาลี เพื่อนรักของเขานั้นเอง ในรอบที่ 9 ของการแข่งขัน มาร์โค ได้เข้าโค้ง แล้วรถเค้าเสียหลักกำลังจะล้ม แต่ตัวเขาพยายามประคองรถไม่ให้ล้มในโค้ง ทำให้ รอซซี่ ที่ตามมาด้านหลังด้วยความเร็วสูง เหยียบไปบริเวรหัวของเพื่อนร่วมชาติ จนหมวกกันน๊อคกระเด็นออกจากหัว มาร์โค รุพยาบาลรีบนำตัวเขาไปโรงพยาบาล แต่ทนพิษบาดแผลไม่ไหว เสียชีวิตในเวลาต่อมา

ปี 2012 “รอสซี่” ยังคงจมอยู่กับดูคาติ เขาไม่สามารถควบคุมรภได้เหมือนค่ายอื่น และก็เป็นปีที่ย้ำแย่ของเขาอีกปี จบฤดูกาลอันดับที่ 6 ไม่สามารถคว้าแชมป์ได้สักสนาม

ปี 2013 “รอสซี่” ได้ย้ายกลับมาถิ่นเก่าที่คุ้นเคย นั้นก็คือทีมโรงงานยามาฮ่า นั้นเอง กลับมาเป็นทีมเมทกับ “ลอเรนโซ่” อีกครั้ง เจ้าอมยิ้มฟอร์มกำลังโหด บวกกับเป็นปีที่เด็กระเบิดอย่าง “มาร์ค มาร์เกซ” ได้ขยับขึ้นมาขี่รุ่นใหญ่ ตอนนี้คู่ต่อสู้ของ รอสซี่ ได้เพิ่มมากขึ้นเลยทีเดียว แต่ปีนี้ก็ดีกว่าปีเก่าๆ ที่ดูคาติ ด้วยการจบอันดับที่ 4 คว้าแชมป์ไป 1 ครั้ง

ปี 2014 ถ้าไม่มีชายที่ชื่อ Marc Marquez คงเป็นปีที่  “รอสซี่” กำลังจะกลับมาร้อนแรงอีกครั้ง แต่ความไฟแรงและหนุ่มกว่าของ “มาร์เกซ” ืทำให้จบที่ 2 ของฤดูกาล ได้ชัยชนะ 2 ครั้ง ขึ้นโพเดี้ยม 13 ครั้ง

ปี 2015 ปีนี้เป็นปีที่ รอสซี่ น่าจะเข้าใกล้กับแชมป์โลกมากที่สุดเลยก็ว่าได้ ด้วยการที่จบฤดูกาลจบอันดับที่ 2 แต่คะแนนห่างจากแชมป์โลกอย่าง “ลอเรนโซ่” เพียงแค่ 5 คะแนนเท่านั้น มันเข้มข้นมากการแข่งทั้งปี ตัดสินกันในสนามสุดท้าย  “รอสซี่” จบอันดับที่ 4 ส่วนฝั่ง “ลอเรนโซ่” จบอันดับที่ 1

ปี 2016 ปีนี้ความยอดเยี่ยมของ รอสซี่ ก็ยังคงเส้นคงวา แต่เป็นเพราะว่า มาร์เกซ อยู่เหนือกว่าความยอดเยี่ยมของ รอซซี่ โดยที่ รอสซี่ ไล่ มาร์เกซ ไม่เข้าเลยในทุกสนามที่แข่งขัน จบฤดูกาลอับดับที่ 2 ได้แชมป์ไป 2 ครั้ง และขึ้นโพเดี้ยม 10 ครั้ง

ปี 2017 ปีนี้ รอสซี่ มีปัญหากับรถแข่งขัน เนื่องจากการพัฒนารถ เร่งได้ไม่เหมือนที่ผ่านมา บวกกับยางหน้าที่ค่อนข้างมีปัญหาในการเข้าโค้ง จนต้องปรับจูนกันพักใหญ่เลยทีเดียว แต่กลางฤดูกาลมีการแฟริ่งใหม่เข้ามาใช้ ทำให้ว่ารถแข่งนั้นดีขึ้น ภายหลังจากนั้นก็กลับมาคว้าแชมป์ได้ใน แอสเซน ประเทศเนเธอแลนด์ จบฤดูกาลอันดับที่ 5

ปี 2018 เขาประกาศต่อสัญญากับทีมโรงงานยามาฮ่าออกไปอีก 2 ปีถึงปี 2020 และเป็นการเริ่มต้นที่ดี ในสนามแรกเข้าได้ขึ้นโพเดี้ยม ในสนามที่ 2 นี้ เกิดเหตุดราม่าขึ้นระหว่างเขากับ “มาร์​เกซ” เป็นเหตุการที่ถกเถียงกันมาจนถึงปัจจุบันนี้ สำหรับแฟนๆชาวมอเตอร์สปอต แต่ รอสซี่ ก็กลับมาใช้สมาธิกับการแข่งต่อไป ได้ขึ้นโพเดี้ยมเก็บสถิติของตัวเองมาเรื่อยๆ แต่ก็ยังไม่สามารถคว้าแชมป์มาได้ จบอันดับที่ 3 ของฤดูกาล

ปี 2019 ปีนี้นักแข่ง ยามาฮ่า ทั้งสองคน ต่างปวดหัวกับการที่ YZR-M1 ที่มีปัญหาเรื่องการยึดเกาะ และดูเหมือนว่าด้วยอายุที่เริ่มจะมาก ประสาทต่างๆในร่างกายเริ่มจะช้าลงอย่างเห็นได้ชัด รอสซี่ จบฤดูกาลอันดับที่ 7 แต่ก็ยังสามารถขึ้นโพเดี้ยมได้ถึง 2 ครั้ง

ปี 2020 การเดินทางบนเส้นทางโมโตจีพี ของ วาเลนติโน่ รอสซี่ ใกล้จบลงแล้ว ด้วยอายุที่เข้าหลัก 4 บวกกับมีรักแข็งใหม่ ฝีมือดี ก้าวขึ้นมาในรุ่นใหญ่ ทำให้ รอสซี่ ไม่ชนะการแข่งขัน แล้วก็ไม่สามารถไปยืนบน โพเดี้ยมได้เลยสักครั้งในปีนี้ อีีกทั้งได้มีการประกาศย้ายออกจากทีมโรงงานยามาฮ่า ไปยังทีมอิสระอย่าง Petronas SRT อีกด้วย

รอสซี่ 2021 การที่ย้ายมาทีมใหม่ ก็มีคำถามเข้ามาเสมอว่า “วาเลนติโน่ รอสซี่” จะเร่งฟอร์มเก่งได้อีกครั้ง แต่เมื่อการแข่งขันผ่านไปครึ่งฤดูกาล เขาเก็บแต้มได้เพียง 17 คะแนน อยู่อันดับที่ 19 จากทั้งหมด 9 สนาม และหลังกลับมาจากพักครึ่งฤดูกาล สุดท้ายเขาก็จัดแถลงข่าวที่สนามเรดบูลริง ประเทศออสเตรีย valentino rossi เลิกแข่งเลิกแข่งหลังจบฤดูกาล 2021

วาเลนติโน่ รอสซี่

สรุปผลงานของ Valentino Rossi

แชมป์โลก 9 สมัย

ชนะการแข่งขัน 115 ครั้ง

ขึ้นโพเดี้ยม 235 ครั้ง

คว้าคะแนนไป 6,313 คะแนน

และนี้ก็คือประวัติของ “Valentino Rossi 46”แชมป์โลก 9 สมัย ขวัญใจแฟนๆทั่วโลก ตั้งแต่แรกเริ่ม จนถึง อำลา รอ ส ซี่ ถ้าชอบก็อย่าลืมกดไลค์กดแชร์ให้กับบทความของผมด้วยนะครับ

 

รับชมบทความอื่นๆได้ที่ บทความกีฬาที่น่าสนใจ

 

Alvaro

 

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *